เทคนิคเลือก “ซื้อ” คอนโด/บ้าน

1. จุดประสงค์การซื้อ เพื่อลงทุน หรือ อยู่เอง

ก่อนอื่นเลยต้องรู้จุดประสงค์ในการจะซื้อคอนโดของคุณคืออะไร เพราะจะทำให้คุณสามารถเลือกซื้อคอนโดได้ง่ายขึ้น

ต้องการคอนโด/บ้าน เพื่ออยู่อาศัยเอง ให้คุณเลือกคอนโดคุณภาพที่อยู่ใกล้กับที่ทำงาน เดินทางสะดวก หรือสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้อย่างครบถ้วน เช่น สระว่ายน้ำ

ต้องการคอนโด/บ้าน เพื่อการลงทุนให้เช่าและการขายเก็งกำไร คุณควรเลือกคอนโดที่มีทำเลดี หรือทำเลใกล้กับโซนที่ทำงานและโซนนักศึกษามหาวิทยาลัย รวมไปถึงโซนตามแนวรถไฟฟ้า BTS หรือ MRT ใกล้แหล่งสรรพสินค้า เพื่อช่วยให้คุณหาผู้เช่าหรือผู้ซื้อได้ง่ายมากขึ้น

2. ลักษณะห้อง

ห้องมีความสำคัญกับชีวิตของเราอย่างมาก เราจึงต้องเลือกที่พักที่จัด layout ได้เหมาะกับเรา และตกแต่งห้องให้เรารู้สึกผ่อนคลาย เช่น

• คนชอบทำกับข้าว จะต้องมองหาห้องครัวที่ติดกับระเบียง เพื่อที่กลิ่นอาหารจะได้ระบายออกไปข้างนอกได้ง่าย
• คนที่ทำงานที่บ้าน/คอนโด จะชอบห้องที่มีโต๊ะทำงาน แยกเป็นสัดส่วน ไม่ใช่ห้องสตูดิโอ
• ชาวต่างชาติ แอบบอกว่า ส่วนใหญ่ชอบห้องกว้างๆ ได้แสงธรรมชาติ วิวไม่บล็อก และไม่ใช่ห้อง studio ค่ะ
• ของแถมที่โครงการมีให้ ช่วยประหยัดให้กับเรามากยิ่งขึ้น เช่น bluetooth speaker, เครื่องกรองน้ำ, เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

3. ส่วนกลาง

เป็นอีกส่วนที่สำคัญรองมาจากห้อง ต้องดูว่าคอนโดว่าให้สิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคใดบ้าง โดยให้เน้นกิจกรรมส่วนตัวของคุณเป็นหลัก เช่น

• ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย ควรเลือกคอนโดที่ห้องฟิตเนสมีขนาดใหญ่ ใช้บริการได้ตลอด
• ถ้าคุณชอบว่ายน้ำ ควรเลือกที่สระว่ายน้ำใหญ่ ไม่ใช่ลงไปได้แค่ 1-2 คนก็ว่ายไม่ได้แล้ว
• ถ้าคุณมีเด็กเล็กควรเลือก Facilities ที่เด็ก ๆ จะวิ่งเล่นได้อย่างปลอดภัย หรือเป็นโซนสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เพื่อทำให้เหมาะสมต่อการใช้ชีวิตมากที่สุด

และยังต้องคำนึงค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายเดือน และ ทีมงานนิติที่บริหารคอนโด ว่าเป็นมิตรและมีประสิทธิภาพหรือไม่

4. เลือกโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว หรือ แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ

เพราะการซื้อคอนโดไม่ใช่เงินก้อนเล็ก ๆ แต่เป็นเงินเก็บของคุณ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่โครงการที่ซื้อจะต้องสร้างเสร็จไม่มีปัญหากับชุมชนข้างเคียง เพื่อเสี่ยงการเสียเงินเปล่าจากปัญหาการฟ้องร้อง จนอาจทำให้โครงการล่าช้า หรือ หยุดชะงักได้

5. ค่าใช้จ่ายโดยรวม

การซื้อคอนโด มีค่าใช้จ่ายอยู่หลายส่วนด้วยกัน ดังนี้

1.เงินดาวน์ หมายถึง เงินที่ผู้ซื้อจะต้องชำระล่วงหน้าบางส่วน เพื่อแสดงเจตจำนงค์เป็นการยืนยันว่าจะซื้อคอนโด ซึ่งโดยมากจะเรียกเก็บเป็น % จากราคาคอนโด เช่น เราต้องการซื้อคอนโดราคาห้องละ 3 ล้านบาท หากกำหนดเงินดาวน์อยู่ที่ 15% ก็จะต้องชำระเงินส่วนนี้ทั้งสิ้น 450,000 บาท ซึ่งก็สามารถผ่อนดาวน์ได้เป็นงวด ๆ เช่นกัน ตามที่โครงการกำหนด

2. ค่าใช้จ่ายวันโอน ถือเป็นเงินอีกก้อนที่จำเป็นต้องจ่ายก่อนจะเข้าอยู่ในคอนโดนั้น ๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายในวันโอนนั้นจะประกอบไปด้วย ค่าโอนกรรมสิทธิ์ 2% ของราคาประเมินโครงการ ค่าจดจำนอง 1% ของมูลค่าคอนโด รวมถึงยังมีค่าอากรแสตมป์อีก 0.5% ของราคาซื้อขาย เบ็ดเสร็จแล้วก็ถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ไม่น้อย

3. ค่าผ่อนรายเดือน(สำหรับท่านที่กู้ธนาคาร) หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการจองทำสัญญาและโอนซื้อขายเรียบร้อยแล้ว ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ที่เราต้องเสียในการซื้อคอนโดก็คือ “ค่าผ่อน” กับธนาคารที่เรากู้ โดยอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านตอนนี้สูงอยู่ที่ราวๆ 3%-4% แล้วอย่าลืมบวกเงินต้นเข้าไปด้วยนะ

4. ค่าส่วนกลางคอนโด เราอาจได้รับโปรโมชั่นฟรีส่วนกลางใน 1-2 ปีแรก จึงรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นปัญหา แต่พออยู่ ๆ ไปจนหมดโปรโมชั่น การที่ไม่ได้เตรียมวางแผนค่าใช้จ่ายตรงนี้ไว้ก่อน ก็จะทำให้เกิดเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่หนักขึ้นได้ ซึ่งตามหลักทั่วไปแล้วค่าส่วนกลางคอนโดจะคิดตามพื้นที่ห้อง และจ่ายเป็นรายปี เช่น ถ้ากำหนดค่าส่วนกลางไว้ที่ตารางเมตรละ 50 บาท ห้องมีขนาด 30 ตารางเมตร ก็จะเท่ากับ 1,500 บาทต่อเดือน เก็บเป็นก้อนทีละปี จะเท่ากับ 12 x 1,500 เป็นเงินทั้งสิ้น 18,00 บาทต่อปี

5. ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะเช่าอยู่ หรือซื้อคอนโดอยู่เอง ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็ยังไม่ได้หายไปไหน เรายังจำเป็นต้องเก็บเอามาคิดคำนวณเพื่อให้เห็นภาพรวมของค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทั้งหมดด้วย

6. ค่าตกแต่งต่อเติมจริงอยู่ที่ปัจจุบันเราเห็นคอนโดเปิดขายแบบฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรีแอร์ แบบพร้อมอยู่กันเต็มไปหมด แต่ในทางปฏิบัติจริง ๆ แล้วนั้น เมื่อเป็นการซื้อคอนโดของตัวเองเพื่ออยู่เอง เรามักจะมีความคิดในการตกแต่ง ต่อเติมห้องคอนโดของเราให้น่าอยู่มากที่สุดในแบบที่เราต้องการ นั่นเองจึงเป็นสาเหตุให้ต้องเตรียมเงินเอาไว้อีกก้อนหนึ่งสำหรับรองรับความต้องการตกแต่งส่วนตัวเอาไว้ด้วย